ในระบบเสียง หัวใจสำคัญของการสร้างสรรค์เสียงที่ยอดเยี่ยม คือการใช้เครื่องผสมสัญญาณเสียง(mixer) ซึ่งแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ Analog mixer และ Digital mixer ทั้งสองมีข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกันไป การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความต้องการ และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในที่นี้ เราจะมาพิจารณาความแตกต่างระหว่าง Analog mixer และ Digital mixer อย่างละเอียด เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสร้างสรรค์เสียงที่ดีที่สุด
Analog Mixer
การประมวลผลเสียง : Analog mixer ใช้สัญญาณไฟฟ้าในการประมวลผลเสียง นั่นหมายความว่าสัญญาณเสียงที่เข้ามาจะถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า และประมวลผลผ่านวงจรอนาล็อก
เสียง : เสียงที่ได้จาก Analog mixer มักถูกอธิบายว่ามีความอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาณที่เป็นธรรมชาติและไม่ได้รับการดัดแปลงมาก
การควบคุม : Analog mixer มักมีปุ่มและสวิตช์สำหรับการควบคุมแต่ละช่องเสียงแยกจากกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเสียงได้ทันที
ความซับซ้อน : Analog mixer มักมีขนาดใหญ่ และมีการตั้งค่าที่ซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากการปรับแต่งเสียงแต่ละครั้งจะต้องทำผ่านฮาร์ดแวร์โดยตรง
ราคา : Analog mixer มักมีราคาถูกกว่า Digital mixer เพราะเทคโนโลยีการประมวลผลที่ใช้ง่ายกว่าและไม่ซับซ้อน
Digital Mixer
การประมวลผลเสียง : Digital mixer ใช้การประมวลผลเสียงแบบดิจิทัล โดยแปลงสัญญาณเสียงเป็นข้อมูลดิจิทัล และใช้ชิปประมวลผลเสียงในการปรับแต่งเสียง
เสียง : Digital mixer สามารถให้คุณภาพเสียงที่คมชัด และสามารถปรับแต่งเสียงได้หลากหลาย ผ่านการใช้เอฟเฟกต์และการปรับแต่งแบบดิจิทัล
การควบคุม : มีจอแสดงผล และการควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการปรับแต่งเสียง สามารถใช้คอมพิวเตอร์ หรือแท็บเล็ตในการควบคุมได้ ทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
ความสามารถ : Digital mixer มักมีฟังก์ชัน และเอฟเฟกต์ที่หลากหลาย สามารถบันทึกและเรียกคืนการตั้งค่าเสียงได้ ช่วยให้การทำงานซ้ำๆได้ง่ายขึ้น
ความซับซ้อน : Digital mixer มักมีขนาดเล็ก และการตั้งค่าที่ง่าย แต่ต้องการความเข้าใจในการใช้ซอฟต์แวร์
ราคา : Digital mixer มักจะมีราคาสูงกว่า Analog mixer เนื่องจากความสามารถ และฟังก์ชันที่หลากหลายมากกว่า
หวังว่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่าง analog mixer และ digital mixer ได้ดีขึ้น และช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อ mixer ให้เหมาะกับคุณ !!